โลก ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20
เป็นเวลากว่า 400 ปีแล้ว ที่ศาสตร์นอกรีดหรือที่เราเรียกกันในปัจจุบันว่าวิทยาศาสตร์ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนความไม่พอใจของศาสนจักร และชนชั้นปกครอง การมีตัวตนของวิทยาศาสตร์ ทำให้สิ่งที่อยู่มาก่อนนับพันๆปีอย่างเวทย์มนต์ถูกลดความสำคัญลง ไม่ว่าจะทางการทหาร การพาณิชย์ หรือการขนส่ง
ภายในเวลาไม่ถึงศตวรรษ ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่ไม่เคยมีมาก่อนบนดาวดวงนี้กลับพัฒนาขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดและรวดเร็วจนน่าตกใจ จนทำให้มนุษย์ชาติ เลิกจมปลักกับสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์และพลังเวทย์ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องวัดความเป็นคนอีกต่อไปแล้ว แต่ถึงกระนั้น การที่เทคโนโลยีสามารถพัฒนาได้รวดเร็วเช่นนี้ ก็ใช่ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดีเสมอไป
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมนุษย์ชาติ มีอยู่สิ่งนึงที่เหล่าผู้ปกครองต่างหวาดกลัวและไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับตนเอง นั้นคือ กลัวความรู้ กลัวว่าถ้าหากประชาชนและเหล่าไพล่ของตนมีความรู้ จะทำให้ตำแหน่งผู้ปกครองของตนเองต้องสั่นคลอนและไม่มั่นคง เห็นได้จากประวัติศาสตร์ของหลายๆประเทศ ที่มีการเผาทำลายหรือสังหารบุคคลที่มีความรู้ทิ้งไป ไม่ว่าจะเป็นการเผ่าห้องสมุด หรือแม้แต่การสังหารหมู่นักปราชญ์ก็ตาม เพราะความกลัวว่า ความรู้เหล่านั้นจะทำให้ตนเสียการปกครอง จนมันทำให้องค์ความรู้เหล่านั้นหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์จวบจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นในอดีต ความรู้จึงถูกสงวนเอาไว้แค่ในเฉพาะชนชั้นสูง และชนชั้นปกครองเท่านั้น และเวทมนตร์ก็เช่นกัน
เวทมนตร์คือสิ่งมหัศจรรย์ที่สามารถสร้างสรรค์ในสิ่งที่มันเหนือจินตนาการให้กลายเป็นจริงได้ ไม่ว่าจะการรักษาบาดแผลที่ไม่มีวันรักษาได้ให้หายขาดในพริบตา หรือคนเพียงคนเดียวสามารถใช้เวทขั้นสูงถล่มทั้งกองทัพได้ด้วยเวทย์บทเดียว ดังนั้นเวทมนตร์จึงเป็นสิ่งที่ถูกสงวนเอาไว้เฉพาะเหล่าชนชั้นสูง ชนชั้นปกครอง และทหารเพียงเท่านั้น แต่ก็มีข้ออนุโลมสำหรับประชาชนเช่นกัน ถ้าหากเขาหรือเธอคนนั้นมีพลังเวทย์อยู่ในตัว
แต่แล้วเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงก็มาถึง สิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ที่ศาสนจักรรังเกียจ คนเหล่านี้ต่างออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ของตนเองให้กับประชาชนของหลายๆประเทศ เพราะถ้าหากเก็บความรู้เหล่านั้นเอาไว้ หากคนตายไปก็จะไม่มีใครสานต่อความรู้เหล่านี้ได้ และที่สำคัญคือ ถ้าหารเราเผยแพร่วิทยาการต่างไปให้คน 1000 คน ศาสนจักรก็ไม่ใจกล้าหน้าด้านพอที่จะฆ่าคนเหล่านั้นในที่แจ้ง สำหรับศาสนจักรแล้ว อัตราการเผยแพร่ของวิทยาศาสตร์ เป็นเหมือนเนื้อร้ายที่เป็นอันตรายต่อตนเอง ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องรีบกำจัดพวกมันให้หมด แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ จาก 1 คน เพิ่มเป็น 10 จาก 10 เพิ่มเป็น 100 และจากร้อยเพิ่มเป็น 1000 และมาขึ้นเรื่อยๆจนจนไม่สามารถควบคุมได้ และมันเป็นไปไม่ได้เลยที่ศาสนจักรจะฆ่าคนทั้งโลกเพื่อปกปิดวิทยาศาสตร์
ในเวลาเพียงไม่นานวิทยาศาสตร์ต่างก็แพร่กระจายออกไปยังพื้นที่ทั่วโลก จนศาสนจักรไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป โลก จึงเข้าสู่ยุคสมัยของการตื่นรู้ เหล่าประชาชนต่างไม่พอใจกับเหล่าชนชั้นปกครองที่ปกปิดเรื่องราวของวิทยาศาสตร์ แต่ตั้งใจจะเก็บมันเอาไว้เป็นความลับ มีการประท้วงของกลุ่มคนไร้พลังเวทย์ทั่วทั้งโลกต่อชนชั้นปกครองของตน ถึงความไม่พอใจต่างที่เกิดขึ้น แต่คนเหล่านั้นหาได้สนใจไม่ เหล่าชนชั้นปกครองที่มีทัศนคติต่อประชาชนของตนเองเป็นแค่แรงโง่ๆ ที่ไม่ยอมจ่ายภาษี ต่างโมโหโกรธาที่ไม่สามารถควบคุมเหล่าไพล่ของตนได้ และด้วยการสนับสนุนของศาสนจักร ทั้งกำลังทหารและเงินทุนต่อชนชั้นปกครอง ในการกำจัดคนเห็นต่าง เหล่าชนชั้นปกครองจึงกวาดล้างคนเหล่านั้น จนเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นทั่วโลก
หลังจากช่วงเวลาของสงครามกลางเมืองระหว่างผู้ภักดีและพวกนอกรีดได้ทำสงครามกันเป็นเวลาหลายร้อยปี ในที่สุด โต๊ะเจรจาก็ถูกเปิดออกเพื่อพูดคุยและหาทางออกให้กับสงครามที่ไม่มีวันจบ
ในการเจรจาครั้งนั้นมันคือโต้เถียงที่ดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เพราะต่างฝ่ายต่างมีความคิดและอุดมการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
เหล่าผู้ภักดี ประกอบด้วยเหล่าเชื้อพระวงศ์ ตระกูลขุนนางต่างๆ รวมไปถึงชนชั้นปกครองจากทั่วโลก
ส่วนเหล่าคนนอกรีด ประกอบด้วยประชาชนธรรมดาทั่วๆไปที่ไร้ซึ้งเวทย์มนต์
เหล่าชนชั้นปกครองต้องการรักษาอำนาจของตนไว้ ส่วนเหล่าประชาชนต้องการการพัฒนา การคงอยู่ของสองสิ่งที่ไม่สามารถเข้าหากันได้ได้มาบรรจบกัน หลังจากเวลาหลายร้อยปี ที่มีการสู้รบกันระหว่างเหล่าผู้ภักดี และพวกนอกรีด มันได้สร้างความเสียหายขั้นรุนแรงจนไม่อาจกล่าวได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุอะไร การเจรจาก็จบลงด้วยสันติ โดยมีศาสนจักรเป็นคนกลางในการเจรจา มันก็น่าตลกดีที่ตัวตั้งตัวตีของสงครามกลับเป็นตัวกลางของสันติภาพ
ผลการเจรจาที่ได้มาคือ เหล่าชนชั้นปกครองสามารถรักษาอำนาจของตนไว้ได้ เพียงแต่ต้องเสียอะไรนิดๆหน่อยๆ ส่วนประชาชนที่ไม่มีพลังเวทย์สามารถเข้าถึงวิทยาศาสตร์ได้้โดยสามารถเล่าเรียน ศึกษาศาสตร์เหล่านี้ได้โดยไม่มีความผิด และวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ศาสตร์นอกรีดอีกต่อไป แต่ถูกบัญญัติไว้เป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่ง ที่เหล่าคนไม่มีพลังเวทย์ต่างศึกษาเล่าเรียน
แต่ถึงกระนั้นการมีอยู่ของวิทยาศาสตร์ไม่ได้ทำให้เวทย์มนต์หานไปซะทีเดียว เพราะบางสิ่งวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถทำได้แต่เวทมนตร์ทำได้ ยกตัวอย่างเช่นการรักษาพยาบาล รวมไปถึงการทหารด้วย เพราะคงปฎิเสธไม่ได้ว่า แค่มีนักเวทย์คนเดียวก็สามารถจัดการคนถือปืนได้เป็นสิบๆ ถ้าเก่งๆหน่อยก็ถึงร้อย
ดังนั้น ในช่วงเวลาของปัจจุบันนี้ เป็นช่วงเวลาของการพัฒนา เมืองเวทย์มนต์และวิทยาศาสตร์สามารถอยู่ร่วมกันได้และสามารถพัฒนาไปพร้อมๆกันได้เช่นกัน
ในช่วงเวลาเกือบ 400 ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีของมนุษย์ได้พุ่งตัวอย่างก้าวกระโดดในทุกๆด้าน
ทุกๆความขัดแย้งและทุกๆสงครามจะโหดร้ายและรุนแรงมันกว่าที่โลกได้เคยเผชิญมา เมื่อวิทยาศาสตร์และเวทย์มนต์รวมกันเป็นหนึ่ง
________________________
เอาหละสำหรับคนที่สงสัยว่านิยายเรื่องนี้เป็นแนวไหน คำตอบคือ โลกเเฟนตาซีที่พัฒนาแล้วนั้นเองนะครับ เป็นลูกผสมระหว่างแนว fantasy sword and magic กับแนว streampunk
ความคิดเห็น